องค์ประกอบของร่างกายคืออะไร


องค์ประกอบของร่างกายเป็นวิธีการแยกส่วนร่างกายเป็นส่วนประกอบหลัก คือ ไขมัน โปรตีน แร่ธาตุ และน้ำในร่างกาย องค์ประกอบของร่างกายระบุน้ำหนักของคุณอย่างแม่นยำ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวมของคุณได้ดีกว่าวิธีการดั้งเดิม การวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายสามารถแสดงความเปลี่ยนแปลงในมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ และสัดส่วนไขมันในร่างกายได้อย่างแม่นยำ

ดาวน์โหลด: “อีบุ๊กองค์ประกอบของร่างกายคืออะไร”

ทำไมการวัดองค์ประกอบของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อพูดถึงโภชนาการและความแข็งแรงของร่างกาย เรามักจะให้ความสำคัญกับปริมาณน้ำหนักที่เราต้องการเพิ่มหรือลด สิ่งที่เราลืมคำนึงถึงคือ คนสองคนที่เป็นเพศเดียวกันและมีน้ำหนักร่างกายเท่ากัน อาจดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมีองค์ประกอบของร่างกายต่างกัน องค์ประกอบของร่างกายระบุถึงปริมาณไขมัน กระดูก น้ำ และไขมันในร่างกาย การวัดองค์ประกอบของร่างกายจะช่วยให้คุณทราบว่าร่างกายของคุณมีส่วนประกอบใดบ้าง และช่วยให้คุณระบุได้ว่าคุณควรปรับปรุงในด้านใดเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณเอง

การวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายเป็นวิธีการระบุว่าร่างกายประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยแยกส่วนระหว่างไขมัน โปรตีน แร่ธาตุ และน้ำในร่างกาย เพื่อให้คุณทราบข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณอย่างรวดเร็ว InBody เป็นธุรกิจวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกาย และเราพร้อมชี้แนะให้คุณทราบถึงความสำคัญของการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายในยุคปัจจุบัน เพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก

BMI ไม่แม่นยำและให้ข้อมูลผิดพลาดอย่างไร

คุณอาจยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์ประกอบของร่างกายมาก่อน แต่คงอาจคุ้นหูกับคำว่า BMI ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้ประเมินสุขภาพโดยเปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง: BMI – กก./ตรม.

ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ BMI อย่างแพร่หลายในการดำเนินงานทางการแพทย์ แต่ BMI ก็มีข้อจำกัดมากมาย และเป็นเครื่องมือตรวจติดตามความเปลี่ยนแปลงในน้ำหนักที่ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่มีวิธีระบุได้ว่าความเปลี่ยนแปลงในน้ำหนักของคุณนั้นเป็นไขมันหรือกล้ามเนื้อ การทำนายสุขภาพหรือการตายโดยใช้ตัวเลขเดียว เช่น BMI ไม่สามารถอธิบายความเสี่ยงด้านสุขภาพได้อย่างครอบคลุม และละเลยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี

เมื่อคุณพยายามมีสุขภาพที่ดีขึ้น คุณควรให้ความสำคัญกับการลดไขมันและการเพิ่มกล้ามเนื้อ มาตรวัดหรือ BMI ไม่สามารถบอกคุณได้ว่าน้ำหนักที่ลดไปนั้นประกอบด้วยการลดลงของไขมัน กล้ามเนื้อ หรือน้ำในร่างกายมากน้อยเพียงใด แต่องค์ประกอบของร่างกายสามารถระบุรายละเอียดเหล่านี้ได้

ทำไมคุณจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำหนักของคุณโดยพิจารณาถึงกล้ามเนื้อและไขมัน

คุณอาจทราบเกี่ยวกับช่วงน้ำหนักปกติ แต่คุณจะอยู่ในช่วงน้ำหนักปกติได้อย่างไร หากคุณให้ความสำคัญกับการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว สุดท้ายคุณอาจสูญเสียกล้ามเนื้อของตนเอง และแน่นอนว่าความพยายามของคุณสูญเปล่า ด้วยการแยกระหว่างกล้ามเนื้อและไขมัน องค์ประกอบของร่างกายจะช่วยให้คุณไม่ต้องคาดเดาว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น ไขมันที่ลดลง หรือทั้งสองอย่าง

ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอย่างไร สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญระหว่างปรับปรุงสุขภาพคือ ความผอมไม่ได้หมายถึงสุขภาพดีเสมอไป

ความผอมเท่ากับสุขภาพดีเสมอไปหรือไม่

เป็นเรื่องปกติที่เราจะคิดว่าการมีไขมันให้น้อยที่สุดนั้นคือการมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม การมีรูปร่างผอมก็ไม่ได้ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพเสมอไป — คนที่ “ผอมแต่มีพุง” อาจมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูงเช่นเดียวกับคนอ้วน

คนที่ผอมแต่มีพุงอาจดูผอมและสุขภาพดีเนื่องจากมีไขมันใต้ชั้นผิวหนังในปริมาณที่ยอมรับได้ แต่คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูง เนื่องจากมีไขมันในช่องท้องมากเกินไป และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยเกินไป

นอกจากนี้ คนที่จัดว่าผอมแต่มีพุงนั้นมักจะไม่ทราบถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นไม่เหมือนกับไขมันใต้ชั้นผิวหนังตรงที่ไขมันในช่องท้องนั้นไม่สามารถวัดได้ด้วย BMI และมาตรวัดธรรมดา ดังนั้นไขมันในช่่องท้องจึงไม่ถูกตรวจวัด ทั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีไขมันใต้ชั้นผิวหนังสูงหรือผอมแต่มีพุง หรือคุณเพียงต้องการทราบว่าคุณจะเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพได้อย่างไร การทราบเกี่ยวกับความสมดุลของกล้ามเนื้อก็ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเสมอ

ความสมดุลระหว่างไขมันและกล้ามเนื้อเป็นส่วนประกอบสำคัญของสุขภาพในระยะยาว การมีมวลกล้ามเนื้อที่เพียงพอจะช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยให้มีท่าทางที่ดีขึ้น เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และป้องกันภาวะอ่อนแอในวัยชรา

การทราบองค์ประกอบของร่างกายมีประโยชน์อย่างไร

  • หาระดับฐานของคุณเพื่อให้ทราบว่าคุณต้องลด เพิ่ม หรือคงองค์ประกอบของร่ายกายในด้านใดไว้
  • ประเมินสัดส่วนไขมันในร่างกายของคุณ เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นกับการลดไขมัน มิใช่ลดน้ำหนัก
  • ให้การออกกำลังกายประจำวันของคุณได้ผลสูงสุดเพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพและเป้าหมายด้านความแข็งแรงของร่างกายของคุณ
  • คำนวณความต้องการแคลอรีของคุณ และสร้างแผนโภชนาการที่เหมาะกับคุณ
  • กำหนดเป้าหมายที่ทำได้จริง ติดตามความคืบหน้าอย่างแม่นยำ และมีแรงกระตุ้นอยู่เสมอ
  • ข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้นเพื่อปรับปรุงองค์ประกอบร่างกายของคุณ

คุณจะติดตามความคืบหน้าของคุณด้วยข้อมูลองค์ประกอบของร่างกายอย่างไร

ด้วยองค์ประกอบของร่างกาย คุณจะสามารถติดตามความคืบหน้าของคุณและตรวจวัดประสิทธิภาพของโภชนาการและลักษณะการออกกำลังกายของคุณได้อย่างง่ายดาย

ข้อมูลองค์ประกอบของร่างกายที่สำคัญมากมายที่คุณสามารถใช้ติดตามความคืบหน้าของคุณได้เมื่อเวลาผ่านไป:


สัดส่วนไขมันในร่างกาย (Percent Body Fat – PBF)

สัดส่วนไขมันในร่างกายเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของคุณที่แม่นยำกว่าน้ำหนักร่างกายหรือ BMI ของคุณ เนื่องจากสัดส่วนไขมันในร่างกายจะระบุว่าน้ำหนักร่างกายรวมของคุณมีไขมันเท่าไหร่ ทั้งนี้ สำหรับระดับไขมันในร่างกายที่ดีต่อสุขภาพ ให้พยายามมีสัดส่วนไขมันในร่างกายภายใน 10-20% สำหรับผู้ชาย หรือ 18-28% สำหรับผู้หญิง


มวลกล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeletal Muscle Mass -SMM)

มวลกล้ามเนื้อโครงร่างมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหว ท่าทาง และภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสำหรับสุขภาพระยะยาว การวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายจะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณมีมวลกล้ามเนื้อโครงร่างเท่าใดในร่างกายแต่ละส่วน เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นในการสร้างกล้ามเนื้อให้มากขึ้นหรือแก้ไขความไม่สมดุลต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะมีความสมดุลของมวลกล้ามเนื้อที่ดีต่อสุขภาพ


น้ำในร่างกายรวม (TBW)

น้ำในร่างกายรวม (TBW) ของคุณแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ น้ำภายนอกเซลล์ (ECW) และน้ำภายในเซลล์ (ICW) ความสมดุลของน้ำในร่างกายที่ดีต่อสุขภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกาย คุณจะสามารถระบุความเปลี่ยนแปลงต่างๆ และจัดการกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเพื่อรักษาความสมดุลที่ดีต่อสุขภาพ

วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกาย

วิธีต่างๆ มากมายในการระบุองค์ประกอบของร่างกาย บางวิธีนั้นสะดวกรวดเร็ว แต่ให้เพียงข้อมูลพื้นฐาน บางวิธีใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง และต้องมีช่างเทคนิคที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้สนับสนุนในการควบคุมการทดสอบ เหล่านี้คือบางวิธีการที่ใช้ระบุองค์ประกอบของร่างกาย:

เครื่องหนีบวัดไขมัน

หนึ่งในวิธีตรวจวัดร่างกายที่ใช้ในการตรวจวัดไขมันในร่างกายคือ เครื่องหนีบวัดไขมัน วิธีการนี้รู้จักกันในชื่อ Pinch Test (การทดสอบแบบหยิก) ตามความหมายของชื่อ วิธีการนี้จะมีการใช้นิ้วหยิบดึงคล้ายการหยิกชั้นไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และตรวจวัดความหนาโดยใช้คาลิเปอร์

คาลิเปอร์นั้นพกพาง่าย และการตรวจวัดก็สามารถทำได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายสูง. อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้จะประมาณสัดส่วนไขมันในร่างกาย (PBF) รวมโดยพิจารณาจากไขมันใต้ชั้นผิวหนัง

ถึงแม้ว่าไขมันในร่างกายปริมาณมากจะเป็นไขมันใต้ชั้นผิวหนัง แต่การตรวจวัดก็อาจจะไม่แม่นยำสำหรับผู้ที่มีสัดส่วนไขมันในร่างกายผันแปร นอกจากนี้ การตรวจวัดยังทำได้ยาก หากชั้นไขมันใต้ผิวหนังนั้นหนา 5 ซม. หรือมากกว่า และความสามารถในการทำซ้ำได้ (Reproducibility) ของผลลัพธ์นั้นจะแปรผันอย่างมากขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ตรวจวัด

Image Credit: Flickr

การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ

การชั่งน้ำหนักใต้น้ำจะคำนวณไขมันในร่างกายรวมจากความหนาแน่นของร่างกาย วิธีการนี้ใช้หลักของอาร์คิมีดีส คือ เมื่อวัตถุจมอยู่ในน้ำ ความแตกต่างระหว่างมวลของวัตถุในอากาศและมวลของวัตถุในน้ำจะเท่ากับปริมาณของวัตถุ

ความหนาแน่นของร่างกาย = มวลของอากาศ / (มวลของอากศ – มวลของน้ำ)

การชั่งน้ำหนักใต้น้ำถือเป็นมาตรฐานสูงสุดสำหรับการวัดองค์ประกอบของร่างกาย เนื่องจากเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีองค์ประกอบของร่างกายเพียงอย่างเดียวที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการวิเคราะห์ทางเคมีกับศพ (Cadaver Analysis)

Image Credit: Texas A&M

การวัดไขมันในร่างกายโดยการแทนที่อากาศ (ADP)

วิธีการนี้ตรวจวัดปริมาณร่างกายของมนุษย์ด้วยการตรวจวัดปริมาณของอากาศตามความเปลี่ยนแปลงในความกดอากาศในห้องทดสอบ

วิธีการนี้ตรวจวัดปริมาณร่างกายของมนุษย์ด้วยการตรวจวัดปริมาณของอากาศตามความเปลี่ยนแปลงในความกดอากาศในห้องทดสอบ

  • ความหนาแน่น = มวล / ปริมาตร
  • สัดส่วนไขมันในร่างกาย = (495 / ความหนาแน่น) – 450 
  • อัตราส่วนไม่รวมไขมัน = 100-BF%

เวลาที่ต้องใช้ในการตรวจวัดนั้นค่อนข้างสั้น ราว 3-5 นาที และผู้รับการทดสอบสามารถหายใจในห้องทดสอบซึ่งตรงข้ามกับการชั่งน้ำหนักใต้น้ำที่ไม่สามารถหายใจได้ วิธีการนี้ทราบกันว่าเป็นมาตรฐานสูงสุดเนื่องจากช่วยให้สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายได้ และให้การตรวจวัดที่แม่นยำโดยใช้ปริมาณเหมือนกับการชั่งน้ำหนักใต้น้ำ

Image Credit: U.S. Air Force photo by Joel Martinez

Dual Energy X-Ray Absorptiometry (DEXA)

DEXA เป็นวิธีการสร้างภาพที่ตรวจวัดน้ำหนักร่างกายในด้าน BMC ทั้งไม่รวมไขมันและรวมไขมันโดยใช้การลดลงของการเอ็กซเรย์บนภาพที่ได้จากการเอ็กซเรย์สองครั้งที่ต่างกัน เมื่อผู้ป่วยนอนลง โปรตอนของลำแสงเอ็กซเรย์ของระดับพลังงานต่างๆ จะสแกนตัวผู้ป่วย ใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 30 นาที

ในฐานะที่เป็นวิธีการมาตรฐานสำหรับการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกาย DEXA จึงมีความแม่นยำสูงเช่นเดียวกับการชั่งน้ำหนักใต้น้ำ ประโยชน์ของวิธีการนี้คือสามารถตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกายของความหนาแน่นของกระดูก ไขมันในร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อสำหรับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ DEXA มีความสามารถในการแยกระหว่างมวลที่ไม่รวมไขมันและรวมไขมัน ทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถพัฒนาจากการสร้างโมเดลโดยใช้แผนภาพกล่อง 2 (2 Compartment Model) เป็นการสร้างโมเดลโดยใช้แผนภาพกล่อง 3 (3 Compartment Model)

ในการสแกน DEXA โดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องนัดหมายกับทางโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์ DEXA คุณอาจจำเป็นต้องหาข้อมูลอยู่บ้าง เนื่องจากมิใช่โรงพยาบาลและคลินิกทุกแห่งที่จะมีอุปกรณ์ DEXA

Image Credit: Wikipedia

การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นเทคนิคการสร้างภาพรูปแบบหนึ่งที่อาจมีการสร้างภาพน้ำในร่างกาย (แต่ไม่ระบุปริมาณ) ร่างกายจะได้รับการสแกนแบบแยกส่วน (แบ่งส่วน) จะมีการใช้การสแกนเพื่อทำนายค่าของร่างกายทั้งหมด MRI ถือเป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำที่สุดสำหรับการระบุปริมาณขอองค์ประกอบของร่างกาย MRI เป็นเครื่องมือประเมินที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจวัดมวลกล้ามเนื้อโครงร่างและเนื้อเยื่อไขมัน (และสามารถแบ่งไขมันออกเป็นส่วนในช่องท้องและส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง)

MRI ใช้แม่เหล็กแรงสูง ดังนั้นจึงต้องนำโลหะออกทั้งหมด ที่มีชิปโลหะ วัสดุ ตัวหนีบผ่าตัด ข้อเทียม/อวัยวะเทียม เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ วัสดุฝังในโลหะ ลิ้นหัวใจเทียม ประสาทหูเทียมที่เป็นโลหะ เศษกระสุน หรืออินซูลินปั๊ม ไม่ควรเข้ารับการทดสอบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีรังสีไอออน วิธีการนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับหลายๆ คน (คนชรา เด็ก เป็นต้น)

การสแกนทั่วทั้งร่างกายใช้เวลาประมาณ 25-30 นาทีในการสแกน และ 3 ชั่วโมงในการวิเคราะห์ผ่านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์

Image Credit: Northwest Radiology

การวิเคราะห์โดยใช้ความต้านทานของกระแสไฟฟ้าต่อเซลล์ในร่างกาย (BIA)

การวิเคราะห์โดยใช้ความต้านทานของกระแสไฟฟ้าต่อเซลล์ในร่างกาย (BIA) เป็นวิธีการตรวจวัดความต้านทานกระแสไฟฟ้าโดยใช้กระแสไฟฟ้าสลับกับผู้ใช้เพื่อตรวจวัดปริมาณน้ำของผู้ใช้ผ่านค่าความต้านทานกระแสไฟฟ้า

วิธีการที่ไม่มีการสอดใส่อุปกรณ์นี้จะมีการวางอิเล็กโทรดบนเท้า มือ หรือทั้งเท้าและมือของผู้รับการทดสอบ จากนั้นจะมีการส่งกระแสไฟฟ้าระดับต่ำผ่านร่างกาย และกระแสไฟฟ้าจะมีปฏิกิริยากับปริมาณน้ำในร่างกาย อุปกรณ์ BIA จะตรวจวัดว่าสัญญาณนี้ถูกกีดขวางผ่านเนื้อเยื่อประเภทต่างๆ อย่างไร (กล้ามเนื้อมีสภาพนำไฟฟ้าสูง แต่ไขมันจะทำให้สัญญาณเคลื่อนที่ช้า)

เนื่องจาก BIA กำหนดความต้านทานจากการไหลของกระแสไฟฟ้าขณะที่ไหลผ่านร่างกาย BIA จึงให้การประมาณน้ำในร่างกายจากไขมันในร่างกายที่คำนวณโดยใช้สูตรที่เลือก

ขั้นตอนถัดไป
ตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกายของคุณด้วย INBODY
ไปให้เหนือกว่าน้ำหนัก
ดูความคืบหน้าด้วยข้อมูลที่ชัดเจน